“รถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง (HSR) เป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคที่ทำงานร่วมกันเพื่อความทันสมัย ” นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงของจีนกล่าวเมื่อวันพุธที่ 6 กันยายน 2566 ขณะตรวจสอบโครงการความร่วมมือจีน-อินโดนีเซีย
การเยือนครั้งนี้ถือเป็นการเยือนประเทศในเอเชียครั้งแรกของเขาในฐานะนายกรัฐมนตรีจีน และเขาเริ่มต้นการเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ โดยยมีกำหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดจีน-อาเซียน ครั้งที่ 26 การประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม (APT) ครั้งที่ 26 และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 18
นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงกล่าวอีกว่าทั้งสองประเทศเป็น “เพื่อนบ้านที่ดี พี่น้องที่ดี และพันธมิตรที่ดีทั่วท้องทะเล” กล่าวว่าความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ยืนยาวระหว่างจีนและอินโดนีเซียกำลังสดใสด้วยความมีชีวิตชีวาครั้งใหม่
ปีนี้ถือเป็นปีครบรอบ 10 ปีของการสถาปนาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างจีนและอินโดนีเซีย
ในฐานะโครงการเรือธงภายใต้โครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางและความร่วมมือเชิงปฏิบัติระหว่างอินโดนีเซียและจีน รถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงระยะทาง 142 กม. ถือเป็นโครงการแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความเร็วสูงสุดที่ออกแบบไว้ที่ 350 กม./ชม. เป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงในต่างประเทศแห่งแรกที่ใช้ระบบรถไฟ เทคโนโลยี และส่วนประกอบทางอุตสาหกรรมของจีนอย่างเต็มรูปแบบ
รถไฟมีการติดตั้งเทคโนโลยีตรวจจับอัจฉริยะ และระบบติดตามแผ่นดินไหวและระบบเตือนภัยล่วงหน้า ตัวรถไฟแต่ละขบวนยังทนทานต่อหมอกและการเสื่อมสภาพจากรังสีอัลตราไวโอเลตอีกด้วย
หลี่ เฉียงได้ทดลองนั่งรถไฟความเร็วสูงดังกล่าวและตรวจสอบการก่อสร้างชานชาลาที่สถานีการาวัง (Karawang) โดยกล่าวว่าทางรถไฟไม่เพียงลดระยะเวลาระหว่างเมืองต่างๆ เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและการอัปเกรดโครงสร้างอุตสาหกรรม และเสริมศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจตลอดเส้นทางอีกด้วย
HSR ลดเวลาการเดินทางระหว่างเมืองหลวงของอินโดนีเซีย จาการ์ตา และบันดุง เมืองเอกจังหวัดชวาตะวันตก จากมากกว่า 3 ชั่วโมงเหลือ 40 นาที
นอกจากนี้ ในระหว่างการก่อสร้าง Jakarta-Bandung HSR นั้น พนักงานชาวอินโดนีเซียจำนวนมากได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมในการก่อสร้าง ซึ่งนำมาซึ่งโอกาสในการทำงานในท้องถิ่น 51,000 ตำแหน่ง และการฝึกอบรมพนักงานชาวอินโดนีเซีย 45,000 คน ตามการระบุของการรถไฟจีน (China Railway)
ที่มา – https://innews.news/news.php?n=46455